ประวัติศาสตร์ เพชรบูรณ์
ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ wison_k@hotmail.com
“จังหวัดเพชรบูรณ์” เป็นดินแดนประวัติศาสตร์บนลุ่มน้ำป่าสัก ที่ปรากฏหลักฐานการค้นพบทางโบราณคดี ได้แก่โครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้ตั้งแต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ หล่มสัก หนองไผ่ วังโป่ง ชนแดน วิเชียรบุรีและศรีเทพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้ปรากฏร่องรอยอารยธรรมหลายอารยธรรมทับซ้อนกันอยู่ในสถานที่เดียวกัน ซึ่งนับว่าเป็นขุมขนที่มีความเจริญรุ่งเรื่องต่อเนื่องกันมายาวนานนับพันปี ได้แก่ โครงกระดูกและเครื่องมือเครื่องใช้มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ จารึกอักษรปัลลวะและเทวรูปฮินดูโบราณ โบราณสถานสมัยทวารวดี ได้แก่ เขาคลังใน เขาคลังนอก และเขาถมอรัตน์ โบราณสถานสมัยขอม ได้แก่ ปรางค์ศรีเทพ ปรางค์สองพี่น้อง และปรางค์ฤาษี นอกจากนั้น ยังมีแท่งศิลาจารึกหินทราย ที่มีการจารึกไว้ครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ. 1564 เป็นอักษรขอม ภาษาสันสกฤต สันนิษฐานว่า น่าจะนำมาจากเมืองศรีเทพ ปัจจุบันนี้ ได้อัญเชิญมาตั้งเป็นเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์
เพชรบูรณ์เป็นดินแดนแห่งวีรกษัตริย์ “พ่อขุนผาเมือง” เจ้าเมืองราด (ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ที่หล่มสัก) ผู้มีคุณูปการในการร่วมก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยเป็นแห่งแรกในดินแดนสุวรรณภูมิ นั่นคือ อาณาจักรสุโขทัย ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ตามศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุม และในสมัยสุโขทัยนี้เอง มีหลักฐานว่า เพชรบูรณ์ได้มีความเจริญตั้งเป็นบ้านเมืองอย่างมั่นคงแล้ว ดูจากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 กล่าวถึงเมือง ลุมบาจาย (เชื่อว่าได้แก่ หล่มเก่า) ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 93 วัดอโศการามได้มีการกล่าวไว้ว่า เมืองวัชชปุระ (สันนิษฐานว่าคือเมืองเพชรบูรณ์) เป็นเขตรัฐสีมาของกรุงสุโขทัยด้านตะวันออกเฉียงใต้ และศิลาจารึกหลักที่ 286 วัดบูรพารามกล่าวถึงเขตของอาณาจักรสุโขทัยด้านทิศบูรพาคือ เมืองพชชบุร นอกจากนั้นยังปรากฏแนวคันดินคูน้ำตาม (แนวถนนสันคูเมืองในปัจจุบัน) ที่สร้างไว้เพื่อป้องกันเมืองในสมัยนั้น และหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญในยุคนี้อีกชิ้นหนึ่งคือ จารึกลานทองคำที่พบในเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สมัยสุโขทัย ในวัดมหาธาตุ ที่จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. 1926 ได้ระบุถึงชื่อเมืองเพชรบูรณ์ว่า “เพชบุร” ซึ่งได้มีการตีความคำว่า “เพช” น่าจะมาจากคำว่า “พีช” อันเป็นคำบาลี แปลว่า “พืช” ฉะนั้น ชื่อเมืองเพชรบูรณ์ในยุคแรก ๆ ก็น่าจะหมายถึง เมืองแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร นั่นเอง และชื่อดังกล่าวนี้ก็ยังได้ปรากฏในหลักฐานเอกสารในยุคต่อ ๆ มาอีกด้วย นั่นคือ แผนที่ไตรภูมิพระร่วงในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา แผนที่เดินทัพสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และตำราพิชัยสงครามเมืองเพชรบูรณ์ ฉบับพรหมบุญ เขียนชื่อเมืองเพชรบูรณ์ในอดีตว่า “เพชบูรร”
สมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏหลักฐานว่า เพชรบูรณ์เป็นหัวเมืองชั้นโท มีหน้าที่นำทัพในการศึกสงครามด้านเมืองลาว มีชื่อเจ้าเมืองว่า พระยาเพชรรัตน์สงคราม มีศักดินา 10,000 ไร่ นอกจากนั้น ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดี คือกำแพงเมืองเก่าของเมืองเพชรบูรณ์ที่สร้างในช่วงกลางกรุงศรีอยุธยา เป็นกำแพงเมืองที่มีการก่ออิฐถือปูนประกอบด้วยศิลาหินทราย มีป้อมปราการทั้ง 4 มุมและประตูทางเข้าเมือง และมีเจดีย์สมัยอยุธยาหลายองค์คือ เจดีย์ทรงปรางค์คู่หน้าโบสถ์วัดมหาธาตุ เจดีย์ทรงปรางค์วัดพระแก้วและวัดไตรภูมิ เจดีย์ทรงระฆังที่วัดพระสิงห์ (วัดร้าง) นอกจากนั้น ยังมีโบสถ์และพระพุทธรูปศิลปะสมัยอยุธยาประดิษฐานอยู่ในวัดหลายแห่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ เช่น วัดมหาธาตุ วัดไตรภูมิ วัดช้างเผือก วัดโพธิ์กลางนางั่ว และวัดต่าง ๆ ในตำบลนายม เป็นต้น และตามประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเชื่อว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงเคยเสด็จเดินทัพผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อไปตีเมืองเขมร จึงได้มีการสร้างศาลสมเด็จพระนเรศวร ฯ ไว้ ณ บริเวณนั้นที่อำเภอวิเชียรบุรี ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ปรากฏหลักฐานเอกสารในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมที่กล่าวถึงสภาพบ้านเมืองที่แสดงว่า เพชรบูรณ์เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมสินค้าของป่าจากหัวเมืองต่าง ๆ ส่งออกผ่านกรุงศรีอยุธยา ดังนี้ “.. เรือหางเหยี่ยวเมืองเพชรบูรณ์นายม บรรทุกครั่ง กำยาน เหล็กหางกุ้ง เหล็กหล่มเลย เหล็กน้ำพี้ ไต้ หวาย ชัน น้ำมันยาง ยาสูบ เขา หนัง หน่องา สรรพสินค้าตามเพศบ้านเพศเมือง มาจอดเรือขายตามแถวปากคลองสวนพูล ตลอดจนหน้าวัดเจ้าพระนางเชิง ..”
ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาจักรี ได้นำทัพต่อสู้กับพม่าที่พิษณุโลก ต่อมาเสบียงขาดแคลน จึงได้ล่าทัพมาสะสมเสบียงที่เพชรบูรณ์ ก่อนจะเดินทัพกลับไปต่อสู้กับพม่า ได้ทรงเสด็จมานมัสการพระพุทธรูปเอาฤกษ์เอาชัยที่วัดมหาธาตุ ครั้งพอเสด็จออกมายังไพร่พลก็ได้เปล่งเสียงเรียกขวัญว่า “มีชัย” 3 ครั้ง พระพุทธรูปองค์นั้นจึงได้ชื่อว่า “หลวงพ่อเพชรมีชัย” มาจนทุกวันนี้
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ได้มีบันทึกการสู้รบในครั้งศึกเจ้าอนุวงษ์แห่งเวียงจันทน์ ที่เมืองเพชรบูรณ์และเมืองหล่มสัก ก็ได้เป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่างทัพไทยกับทัพลาวที่สำคัญแห่งหนึ่ง เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดระเบียบหัวเมืองใหม่ มีการตั้งเมืองเพชรบูรณ์ขึ้นเป็น “มณฑลเพชรบูรณ์” เพื่อเป็นหัวเมืองเอกคอยป้องกันราชอาณาจักรจากศัตรูทางเหนือ มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครอง 3 ท่าน มีราชทินนามว่า พระยาเพชรรัตน์สงครามฯ และยังทรงโปรด ฯ ให้มีพระเจ้าลูกยาเธอทรงกรมมีพระนามว่า “เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย” อีกด้วย นอกจากนั้น เมื่อ พ.ศ. 2447 โปรด ฯ ให้ “สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น ได้เสด็จมาตรวจราชการเมืองเพชรบูรณ์ และทรงได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเมืองเพชรบูรณ์อย่างมากมายในหนังสือชื่อเรื่องว่า “ความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์”
ในยุคประชาธิปไตย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2486-2487 เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกพระราชกำหนดระเบียบบริหารราชการนครบาลเพชรบูรณ์ โดยตั้งใจจะย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เพชรบูรณ์ โดยให้เหตุผลว่า เพชรบูรณ์มีชัยภูมิเหมาะสม มีภูเขาล้อมรอบ มีเส้นทางคมนาคมเข้าออกเพียงทางเดียว มีภูมิประเทศสวยงาม อากาศดี อยู่ตรงกลางของประเทศ เป็นศูนย์กลางภาคเหนือกับภาคอีสาน และกรุงเทพฯ และได้มีการย้ายหน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยทหารต่าง ๆ มาไว้ที่เพชรบูรณ์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังได้ทำพิธียกเสาหลักเมืองหลวงนครบาลเพชรบูรณ์ ไว้ที่บุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก เมื่อ 23 เม.ย. 2487 อีกด้วย เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดคุณูปการในการพัฒนาจังหวัดเพชรบูรณ์ในด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่ต่อมาได้ถูกยกเลิกไปโดยมติของสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อ พ.ศ. 2510-2525 ได้เกิดความขัดแย้งแนวคิดทางการเมืองจนเกิดการสู้รบกันระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตพื้นที่อำเภอเขาค้อ เป็นเวลากว่า 14 ปีจึงได้สงบลง โดยนโยบายการเมืองนำการทหาร ไม่ใช้ความรุนแรงมาแก้ไขความขัดแย้งทางความคิด
จากนั้น จังหวัดเพชรบูรณ์ก็ได้มีการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ด้านการเกษตร ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการคมนาคม และพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรม จนมีการกำหนดวิสัยทัศน์จังหวัดเพชรบูรณ์ว่า “ดินแดนแห่งความสุข ของคนอยู่และผู้มาเยือน”
ในปีมหามงคล พ.ศ. 2554 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จังหวัดเพชรบูรณ์พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนและชาวเพชรบูรณ์ทุกหมู่เหล่าได้พร้อมใจกันสร้าง “พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ ฯ” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ประดิษฐานไว้ ณ พุทธอุทยานเพชบุระ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติและเป็นมหาพุทธานุสรณ์ ประกาศพระพุทธศาสนาให้ประดิษฐานอย่างมั่นคงบนแผ่นดินเพชรบูรณ์สืบไป
Leave a comment